Greeting Message

สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่บล็อก PSYCHOLOGY บล็อกนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยกับด้านจิตวิทยาส่วนใหญ่ ซึ่งในบล็อกก็ได้รวบรวมบทความหรือความรู้ทางจิตวิทยาไว้ให้ได้ศึกษากันนะคะ

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

“ทายนิสัยจากแบบทดสอบ” ของเก๊หรือของจริง!!!

“ทายนิสัยจากแบบทดสอบ” ของเก๊หรือของจริง!!!"   


        ส่วนสำคัญของนิตยสารสำ หรับวัยรุ่น ที่วัยรุ่นโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงจะต้องเปิดดูเป็นอันดับแรกได้แก่ส่วนที่มีการนำ แบบทดสอบทางจิตวิทยาต่างๆ มาให้ลองทำ และคิดคะแนนเพื่อให้รู้ว่าตนเองเป็นคนเช่นไร ทั้งดูจากหมู่เลือด การตอบคำ ถามไม่กี่ข้อ อาหารที่ชอบ หรือแม้แต่สีของชุดชั้นในที่ชอบ นอกจากแบบทดสอบทำ นองนี้จะเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นหญิงชาวญี่ปุ่นแล้ว กลุ่มผู้วิจัยชาวญี่ปุ่น นำ โดย Dr. Sakamoto จากมหาวิทยาลัย Ochanomizu กรุงโตเกียว ยังชี้ว่า ความนิยมกำ ลังแพร่หลายไปในหมู่วัยรุ่น
เกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกงด้วย เพราะความสนุกสนานที่ได้ทำ แบบทดสอบ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความตรงของการวัดลักษณะที่แบบทดสอบอ้างถึง ว่าจะเชื่อถือได้มากเพียงใด ซึ่งเรื่องนี้ถึงขนาดเป็นปัญหาที่นักวิชาการต้องนำมานั่งถกกันเลยทีเดียว แต่พวกที่ชอบทำ แบบทดสอบพวกนี้ก็มักจะอ้างว่า ไม่มีใครไปจริงจังกับผลหรือคำทำนายที่ออกมา ที่ทำก็เพราะมันสนุกดี และคิดว่าคำ ทำ นายที่ได้จากแบบทดสอบทางจิตวิทยาลักษณะนี้ ไม่ได้มีผลอะไรกับตนเอง แต่ความจริง จะเป็นดังคำ กล่าวนี้หรือไม่...
       Dr. Sakamoto และคณะ จึงได้จัดการทดลองเพื่อศึกษาถึงอิทธิพลของแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่น ที่มีต่อภาพลักษณ์ที่วัยรุ่นมีต่อตนเองหลังจากทำ แบบทดสอบ และแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมไปตามคำ แปลผลแบบทดสอบนั้น โดยจัดแบ่งนักศึกษาหญิงจากมหาวิทยาลัย Ochanomizu 64 คน ออกเป็น กลุ่มที่ได้ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยายอดนิยม และแบบทดสอบทางจิตวิทยาตามหลักวิชาการ หลังจากทำเสร็จ ผู้วิจัยก็บอกคำ แปลผลให้ผู้ตอบครึ่งหนึ่งเข้าใจว่าตนเป็นคนชอบเข้าสังคม และบอกผู้ตอบอีกครึ่งหนึ่งว่าพวกเธอเป็นคนชอบเก็บตัว ซึ่งเป็นคำแปลผลที่ผู้วิจัยกำ หนดขึ้นเองและไม่ได้ตรงกับนิสัยจริงของตัวผู้ตอบแต่อย่างใด จากนั้นก็ใหผู้ตอบนั่งรอในห้องๆหนึ่งและได้พบกับคนแปลกหน้า ที่ผู้วิจัยบอกว่าจะต้องทำงานร่วมกับผู้ตอบใน  การทดลองที่ 2 แท้จริงแล้ว คนแปลกหน้านั้นก็คือผู้ช่วยผู้วิจัยที่ถูกจัดให้มานั่งรอเพื่อพูดคุยกับผู้ตอบประมาณ 3 นาที เพื่อใหผู้วิจัยได้สังเกตการพูดคุยกับคนแปลกหน้าของผู้ตอบว่า มีลักษณะชอบเข้าสังคมหรือชอบเก็บตัวตามคำทำนายปลอมที่ได้รับมากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงให้ผู้ตอบได้ตอบแบบสอบถามเพื่อวัดภาพลักษณ์ต่อตนเอง
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า คำแปลผลจากแบบทดสอบมีผลต่อความเชื่อของผู้ตอบว่าตนเองมีลักษณะ
นิสัยแบบใด โดยเฉพาะแบบทดสอบทางจิตวิทยายอดนิยม ที่มีอิทธิพลต่อภาพลักษณ์ต่อตนเองของวัยรุ่นมากกว่าแบบทดสอบตามหลักวิชาการ นั่นคือทำ ให้ผู้ตอบเชื่อว่าตนเองมีลักษณะตามคำ แปลผลได้มากกว่า แต่ในทางพฤติกรรมนั้น แบบทดสอบทั้ง 2 แบบให้ผลพอๆ กัน นั่นคือทำ ให้ผู้ตอบที่เข้าใจว่าตนเองเป็นคนชอบเข้าสังคม พูดคุยกับคนแปลกหน้าบ่อยกว่าคนที่เข้าใจว่าตนเองเป็นคนชอบเก็บตัว และผู้ตอบที่ได้ทำ แบบทดสอบทางจิตวิทยายอดนิยม ยังระบุว่าตนเองพึงพอใจและมีความสุข มากกว่าคนที่ทำ แบบทดสอบทางจิตวิทยาตามหลักวิชาการด้วย ผลการทดลองที่ได้นี้ Dr. Sakamoto และคณะผู้วิจัยสรุปว่า "เกิดปรากฏการณ์ความคาดหวังสร้างความจริง" หรือ "Self-fulfilling prophecy" ขึ้น นั่นคือคำ แปลผลหรือคำ ทำ นายของแบบทดสอบทำ ให้ผู้ตอบรับรู้ตนเองและมี 2 พฤติกรรมไปตามที่แบบทดสอบบอก ทำให้คำทำ นายของแบบทดสอบที่อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย กลายเป็นจริงขึ้นมาในตัวผู้ตอบ กลุ่มผู้วิจัยจึงระบุว่า “แบบทดสอบทางจิตวิทยาแบบยอดนิยมนั้นมีอิทธิพลต่อคนตอบจึงเป็นมากกว่า “แค่ความสนุก” เท่านั้น ลักษณะการสร้างความเป็นจริงขึ้นในตัวผู้ตอบแบบทดสอบเหล่านี้ ทำให้แบบทดสอบดูน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมมากขึ้นไปอีก แต่เมื่อพิจารณาความตรงของแบบทดสอบ ก็เห็นว่ายังคงน่าสงสัย จึงสมควรเตือนคนทั่วไปเกี่ยวกับแบบทดสอบเหล่านี้” ดังนั้น แบบทดสอบของเก๊ ก็อาจกลายเป็น “ของจริง” ที่ตรงกับความจริงได้ อย่างน้อยสำ หรับตัวผู้ตอบ ...วัยรุ่นไทยทั้งหลายที่ชอบทำ แบบทดสอบทางจิตวิทยาตามนิตยสาร จึงต้องยั้งใจเอาไว้บ้าง เพราะถ้าไปเจอแบบทดสอบของเก๊เข้า เราก็อาจจะกลายเป็น “คนหลายใจ” (ตามคำทำนาย)ไปจริงๆ เพราะแค่ตอบคำ ถามที่ใครก็ไม่รู้ นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองค่ะ...

   จากบทความวิจัย Sakamoto, A., Miura, S., Sakamoto, K., & Mori, T. (2000). Popular psychological tests and self-fulfilling prophecy: An experiment of Japanese female undergraduate students. Asian Journal of Social Psychology, 3, 107-124.
   แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์ วัชราภรณ์ เพ่งจิตต์ หลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น