อาจจะดูแล้วรู้สึกเวียนหัวหน่อย แต่ก็เป็นทิวทัศน์โดยรอบของมหาวิทยาลัยเรานะคะ
PsYChOlOgY # 6 MSU
Greeting Message
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่บล็อก PSYCHOLOGY บล็อกนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยกับด้านจิตวิทยาส่วนใหญ่ ซึ่งในบล็อกก็ได้รวบรวมบทความหรือความรู้ทางจิตวิทยาไว้ให้ได้ศึกษากันนะคะ
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
โรคพิลึก ไม่สยอง ไม่ประหลาด แค่ดูไม่ฉลาดเท่านั้นเอง
Academic Underachievement เป็นลักษณะอาการแปลกๆ ที่เกิดกับเด็กที่มีระดับเชาวน์ปัญญา (I.Q.)ปกติ แต่ผลการเรียนกลับไม่ได้ผลดีตามระดับสมองเลย เกรดต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ โดยวัดจากระดับผลการเรียนทางวิชาการเท่านั้น academic หมายถึง วิชาการ underachievement คือ ผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าที่ควร เป็นลักษณะที่เห็นได้ในเด็กที่อาจที่ทำกิจกรรมเก่ง ตอบคำถามในห้องได้ หัวไว เรียนรู้เร็ว เราเองก็มองว่าเจ้าเพื่อนคนนี้ ต้องเรียนเก่งแน่ๆ เลย แต่ผลกลับออกมาว่า ไม่ยักเรียนเก่งแฮะ คนที่มีลักษณะของ Academic Underachievement นี้ บางคนก็กังวลใจมากที่ผลการเรียนไม่ดีเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นกลุ่มที่เฉยชา ไม่สนใจการเรียน หรือไม่สนใจว่าผลการเรียนจะเป็นอย่างไร
ลักษณะสำคัญที่ปรากฎ เช่น
1. ทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ล่าช้ากว่ากำหนด ไม่สนใจงาน ครูไม่ทวง ตัวเองก็ไม่ทำ
2. ระดับผลการเรียนต่ำกว่าระดับเชาวน์ปัญญา
3. เรียนไม่เก่ง แต่ทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ดี มีความรู้อื่นๆ นอกเหนือตำราเรียนดี
4. มีเรื่องวิตกกังวล ตึงเครียดมาก จากเรื่องการเรียนหรือเรื่องอื่นๆ จนขัดขวางความสามารถที่แท้จริงของเด็ก
5. ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง ทำให้ไม่รู้จักพัฒนาตนเอง (ไม่รู้จะทำให้สำเร็จไปทำไม)
6. ระบบการเรียน วิธีการสอน สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนไม่เหมาะกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็ก
สาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดลักษณะของโรคนี้ ส่วนมากจะเป็นสาเหตุทางจิตใจที่เกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอก อย่างเรื่อง
(1) กดดันในครอบครัว พ่อ แม่เป็นไม่สนใจหนังสือหนังหาอยู่แล้ว อยากให้ลูกรีบๆ เรียนให้จบจะได้ออกมาช่วยทำมาหากิน พ่อแม่เองก็ไม่เห็นคุณค่าของการเรียน แล้วลูกจะไปสนใจเรียนได้อย่างไร
(2)ครู ครูส่วนหนึ่งแนวโน้มว่าจะสนใจคนเรียนเก่งมากกว่าเรียนไม่เก่ง เลยยิ่งไม่ได้รับความสนใจจากครู
(3)เพื่อน เด็กและวัยรุ่นมีแนวโน้มจะทำตามกลุ่ม ถ้าเพื่อนเป็นกลุ่มไม่เรียน ก็ไม่เรียนตามเพื่อนด้วย และ
(4)ปัจจัยในใจตนเอง อย่าง นิสัยเอื่อยเฉื่อย ไม่สนใจอะไรรอบตัว หรือกลัวถูกคาดหวังและความผิดพลาด จากวันหนึ่งที่เรียนเก่งแต่จู่ๆ ก็กลัวพลาด กลัวพ่อแม่จะว่า กดดันตัวเองมากจนเป็นปัญหาทางจิตใจและส่งผลต่อการเรียนในที่สุด
ยิ่ง ถ้าเป็นเด็กอัจฉริยะ อาจรำคาญใจที่มาเรียนในชั้นที่ไม่ใช่ระดับความสามารถตนเอง อย่างอายุจริงเท่า ม.1 สมองเท่าม.4 แต่เรียนม.2 ตัวเองก็เบื่อ เลยพาลไม่ตั้งใจเรียนไปซะเลย มีงานก็ไม่ส่ง ครูสอนก็ไม่ฟัง อาจไม่มาสอบด้วยซ้ำ เลยทำให้ไม่มีคะแนนและผลการเรียนก็ออกมาไม่ดี หรืออาจเข้ากับเพื่อนต่างวัยไม่ได้ เป็นต้น รวมๆ แล้วสาเหตุที่จะทำให้เกิดลักษณะอาการของโรคนี้เองก็ยังคาบเกี่ยวกับสาเหตุ ของโรคอีกหลายๆ โรคเลยค่ะ
ลักษณะ อาการแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดง่ายๆ นะคะ ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นปัจจัยที่เกิดจากความกดดันคะ เรียกว่า เป็นอาการที่เกิดจากจิตใจมากกว่าพฤติกรรม ดังนั้น ถ้าใครขี้เกียจเฉยๆ เกียจคร้านไปตามเรื่องตามราวด้วยตนเอง ก็ไม่ได้เป็นโรคนี้นะ แล้วโดยส่วนมากแล้วจะมีแนวโน้มว่าจะเกิดกับเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางด้าน วิชาการ กลุ่ม Gifted มากกว่าเด็กทั่วไปค่ะ แล้วอาจถูกวินิจฉัยร่วมกับอาการสมาธิสั้น บกพร่องทางการเรียนรู้ หรือปัญหาทางอารมณ์และสังคมก็ได้ แต่ต้องสังเกตและพิจารณาควบคู่ไปกับพฤติกรรมที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย คือ เคยมีผลการเรียนดีอยู่ แล้วค่อยๆ ผลการเรียนต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งที่ดูไม่มีปัญหาอะไรเป็นเกรดพรวดพราด เป็นครั้งคราว แล้วกลับมาเกรดเท่าเดิมก็ไม่ใช่ค่ะ
ที่สำคัญกลุ่ม อาการแบบนี้ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์หรือนักจิตวิทยาเท่านั้นนะคะ ไปคิดเอง เออเอง ว่าตัวเองมีอาการ Academic Underachievement ไม่ได้นะ จ๊ะ และไม่ว่าจะเรียนเก่งหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลอะไร เราก็ไม่ควรไปตราหน้าเพื่อนคนไหนว่า "แกมันเรียนไม่เก่ง แกต้องเป็นโรคนี้แน่ๆ" การถูกตราหน้าจากคนอื่นไม่เป็นผลดีกับใครเลย แม้จะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงมากๆ ก็ตาม รังแต่จะทำให้เสียความมั่นใจในตนเองมากขึ้นด้วยซ้ำ
ที่นำมาให้อ่านกัน ก็ถือว่าเป็นความรู้ค่ะ เพราะ จริงๆ คนเราอาจจะเจอกับเรื่องกดดันอะไรในชีวิตจนทำให้คิดและเป็นอย่างที่ไม่ควรแบบ นี้ เช่น ตนเองคิดอยู่เสมอว่า ทำไมต้องพยายาม ทำอะไรทั้งที่ไม่มันไม่มีอะไรดีขึ้น หรือถ้าได้คะแนนดี ก็จะคิดว่ามันบังเอิญ ฟลุ๊กมากกว่า คือ ถ้าเราคิดกับตนเองแบบนี้แต่แรก ผลของมันก็คือการไม่เชื่อว่าตนเองจะทำอะไรได้สำเร็จอยู่แล้วค่ะ ที่เขาเรียกกันว่า การเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ หรือ low self-esteem และมันก็อาจเป็นลักษณะหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำนี่ แหละค่ะ พี่เกียรติไม่อยากให้ใครมีความคิดในใจแบบไม่เชื่อกระทั้งใจตนเองแบบนี้นะ
บางทีเรื่องจิตใจก็เข้าใจยากนะคะ บางทีสมองดีก็จริง
แต่หัวใจหม่นหมอง ก็ไม่ทำให้เรามีความสุขหรอกเนอะ
เพราะฉะนั้นจงมั่นใจในสมองและสองมือของตนเอง และทำสิ่งที่ดีด้วยความตั้งใจกันเถอะ!
"จิตเภท"
ประชาชนจำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจผิดและเชื่ออย่างผิดๆ ว่าโรคจิตเป็นโรคที่เกิดจากการกระทำของภูตผีปีศาจ และเป็นโรคที่รักษาไม่หาย จึงไม่พาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจิตเวชแต่กลับพาไปรดน้ำมนต์ เข้าทรง หรือปล่อยให้อยู่กับบ้านไปตามบุญตามกรรม บางรายในชนบทถึงกับล่ามโซ่ผู้ป่วยไว้กับเสาเรือ
จึงขอให้ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ และเมื่อมีโอกาสก็ขอได้โปรดบอกกล่าวต่อๆ กันไปด้วยว่า โรคจิตนั้นส่วนมากรักษาให้หายได้เช่นเดียวกับโรคทางกาย ถ้าหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องเสียแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม โรคจิตก็เช่นเดียวกับโรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ฯลฯ บางรายอาจหายขาด บางรายเพียงแต่ทุเลา และบางรายก็อาจเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยปลายประการ เช่น ประเภทหรือลักษณะของโรคนั้น ความรุนแรง และระยะเวลาที่เป็นมา
ในบรรดาผู้ป่วยโรคจิตที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่งทั่วประเทศไทย จิตเภทเป็นโรคที่พบได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับโรคจิตประเภทอื่นๆ ผู้ป่วยจิตเภทแสดงอาการของโรคจิตให้ผู้ใกล้ชิดสังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่า จึงสมควรที่ประชาชนจะได้ทราบลักษณะอาการและวิธีการช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว ไม่ว่าโรคจิตหรือโรคประสาทชนิดใดๆ ระยะเวลาและผลของการรักษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อาการของโรคดำเนินมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งมาหาแพทย์เร็วเท่าใดอาการก็ทุเลาได้เร็วและทุเลาได้มากเท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอาการมานานโรคย่อมเรื้อรังรักษาหายได้ยาก หรือในบางรายไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติได้เลยญาติหรือผู้ใกล้ชิดจึงควรรีบพาผู้ป่วยมาพบจิตแพทย์โดยเร็วที่สุด
จิตเภทเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง แปลจากชื่อโรคในภาษาอังกฤษว่า “schizophrenia” ผู้ป่วยอาจเกิดอาการไม่ชัดเจนมาก่อนเป็นเวลานานหลายๆ เดือนก็ได้
อาการ
ผู้ป่วยจะแสดงความผิดปกติหลายๆ ด้านร่วมกัน คือมีความผิดปกติของความนึกคิด พฤติกรรม และอารมณ์มักจะเสียความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง เช่น เฉยเมย ไม่ยินดียินร้าย ไม่สนใจและไม่แสดงปฏิกิริยาทางอารมณ์หรือท่าที ไม่ว่าญาติหรือเพื่อนฝูงจะเป็นอย่างไรหรือแสดงต่อเขาอย่างไร ขาดความสนใจและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจโลกภายนอก เช่น ใครจะรักกัน ไฟจะไหม้ที่ใดก็ไม่รู้ มักแยกตัวอยู่คนเดียวไม่เข้ากลุ่ม เช่น เคยรับประทานอาหารที่โต๊ะพร้อมหน้าบิดามารดา ก็แยกไปรับประทานคนเดียวในห้องนอน ชอบอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาสังสรรค์กับครอบครัว เคยไปงานสังคมต่างๆ เช่น งานเลี้ยง งานศพ ก็ไม่ไปโดยไม่มีเหตุผล ความประพฤติมักเสื่อมถอยกลับไปคล้ายผู้ที่อยู่ในวัยอ่อนกว่า หรือบางรายอาจคล้ายทารกไปเลย เช่น ผู้ป่วยอายุ 30 ปี อาจแสดงกิริยาวาจาหรือแต่งกายคล้ายเด็กอายุ 10 ขวบ บางรายไม่ชอบสวมเสื้อผ้า มิใช่เพื่อโอ้อวดร่างกายส่วนที่ควรปกปิด หรือเพราะเกิดอารมณ์ทางเพศอย่างที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด แต่เป็นเพราะสภาพของจิตใจที่เสื่อมถอยกลับไปสู่วัยเด็กหรือวัยทารกดังกล่าวนั่นเอง ท่านคงสังเกตว่า ทารกหรือเด็กเล็กไม่ใคร่ชอบสวมเสื้อผ้าโดยไม่รู้สึกกระดากอาย ผู้ป่วยจิตเภทบางรายหัวเราะคิดคักอย่างไม่มีเหตุผล พูดคนเดียว หรือพูดกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน ผู้ป่วยจิตเภทอาจมีพฤติกรรมแปลกประหลาด เช่น ลุกขึ้นอาบน้ำเวลาตีสามขณะอากาศหนาว ลงไปแช่ในตุ่มน้ำที่ขังไว้สำหรับริโภค แต่งกายพิกลผิดผู้อื่นและผิดไปจากบุคลิกภาพเดิมของตนอย่างมาก หัวเราะสลับกับร้องไห้ จุดธูปสวดมนต์ทั้งวัน ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น บางรายเอะอะ อาละวาด หยาบคาย ก้าวร้าว หรือพูดจาเลอะเทอะไม่ได้ใจความหรือบางรายอาจไม่พูดเลยคล้ายเป็นใบ้ ไม่ยอมรับประทานอาหาร ไม่ยอมเคลื่อนไหวเหมือนรูปปั้น นอกจากนี้ผู้ป่วยจิตเภทบางรายอาจมีความผิดปกติซึ่งไม่เป็นความจริงในชีวิตของเขา เช่น หลงผิดว่าภรรยาเป็นชู้กับชายเพื่อนบ้าน หลงผิดว่าคู่สมรสหรือเพื่อนของตนมีความมุ่งร้ายจะเอาชีวิต หลงผิดว่าตนเป็นมหาเศรษฐีมีเงินหลายล้านบาท บางรายมีประสาทหลอน เช่น หูแว่วได้ยินเสียงเพื่อนด่าหยาบคาย ได้ยินเสียงบิดาสั่งให้ตัดนิ้วตนเองทิ้งเสีย หรือมีประสาทหลอนทางตา เห็นเป็นภาพหลอนว่าภรรยากำลังถือมีดตรงเข้ามาจะทำร้ายตน ผู้ป่วยหวาดกลัวมากจนอาจหาทางป้องกันตัว โดยรีบคว้าปืนยิงภรรยาเสียก่อน ทำให้เกิดคดีฆาตกรรม ซึ่งเป็นเรื่องชวนสลดใจที่ไม่น่าเกิดขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่ป้องกันได้
จากการศึกษาผู้ป่วยคดีในโรงพยาบาลจิตเวชพบว่า มีหลายรายที่การฆาตกรรมนั้นเกิดจากอาการทางจิต คือเกิดจากอาการหลงผิดหวาดระแวง หรือประสาทหลอน และอาการผิดปกติเหล่านี้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดก็สังเกตเห็นมาก่อน แต่ไม่รีบพาไปรักษาด้วยความนิ่งนอนใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงปรากฏข่าวสะเทือนขวัญในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ในทำนองพ่อใช้ขวานฟันคอลูกในเปล สามีแทงภรรยาที่กำลังนั่งหันหลังทำกับข้าว เป็นต้น ผู้ป่วยจิตเภทไม่จำเป็นต้องมีอาการดังกล่าวหลายอย่างร่วมกัน บางคนอาจแสดงอาการผิดปกติให้เห็นเพียงอย่างเดียวหรือสองอย่างก็ได้ เช่น อาจมีเพียงอาการหลงผิดชนิดระแวงร่วมกับหูแว่ว โดยยังคงประกอบกิจวัตรประจำวันได้เช่นปกติ และพูดคุยได้เรื่องราวดี บางคนอาจเพียงแต่แยกตัวเอง เฉื่อยเฉยไม่ทำการงาน ไม่ยินดียินร้ายแต่ก็ไม่เอะอะอาละวาด วุ่นวาย และไม่มีประสาทหลอนหลงผิดแต่อย่างใด ตำราแพทย์แขนงจิตเวชศาสตร์จึงแบ่งการวินิจฉัยโรคจิตเภทออกเป็นย่อยๆ อีกหลายประเภท ซึ่งจิตแพทย์ใช้ประกอบการพิจารณาทางวิชาการเพื่อให้การรักษาและพยากรณ์โรค อาการต่างๆ ที่บรรยายมาข้างต้นล้วนเป็นอาการซึ่งผู้ใกล้ชิดจะสังเกตเห็นได้อย่างค่อนข้างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมีพื้นเพความรู้ทางจิตเวชศาสตร์ก็พอทราบได้ว่าบุคคลนั้นเริ่มป่วยเป็นโรคจิตแล้ว จึงไม่ควรรีรอหรือลังเลที่จะพาไปหาจิตแพทย์เลย
สาเหตุ
จากการศึกษาและงานวิจัยมากมาย ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่ชัดเจนของโรคจิตเภทได้ อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า โรคจิตเภทเกิดจากความผิดปกติทางชีวเคมีของร่างกายที่มีชื่อว่าโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมอง หรือพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันเป็นพหุปัจจัย จิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมทางจิตใจและสังคมซึ่งเริ่มตั้งแต่ในวัยทารกมีอิทธิพลไม่น้อย ในอันที่จะช่วยส่งเสริม หรือสนับสนุนให้เกิดอาการของโรค สิ่งแวดล้อมนี้มีความหมายกว้าง นับตั้งแต่บุคลิกภาพและท่าทีของบิดามารดาที่ต่อผู้ป่วย เช่น ญาติ ครู เพื่อน ผู้บังคับบัญ ชา ผู้ร่วมงาน ฯลฯ แต่อิทธิพลที่สำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์และท่าทีของมารดาต่อผู้ป่วยตั้งแต่ในวัยทารก มารดาได้ให้ความรักความเข้าใจและความอบอุ่นอย่างถูกต้องและพอเพียงหรือไม่ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่กระด้างชาเย็น เจ้าอารมณ์ ดุร้าย ทารุณ หรือตรงกันข้าม ปกป้องฟูมฟักบุตรจนเกินควร มีโอกาสและมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคทางจิตเวชหลายๆ ชนิด รวมทั้งโรคจิตเภทได้มากกว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่อบอุ่น อารมณ์คงเส้นคงวา และบรรลุวุฒิภาวะ
อุบัติการณ์และระบาดวิทยา
จิตเภทเป็นโรคจิตที่พบมากที่สุดในบรรดาโรคจิตทั้งหมด เกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกระดับการศึกษา อาชีพ และเศรษฐานะ แม้ว่างานค้นคว้าวิจัยในต่างประเทศจะแสดงว่าประชาชนในระดับเศรษฐกิจและสังคมต่ำเป็นโรคจิตเภทมากกว่าพวกระดับเศรษฐกิจและสังคมสูงก็ตาม จากสถิติผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ปี พ.ศ. 2504 ผู้ป่วยโรคจิตที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล 2,406 ราย เป็นโรคจิตเภทเสีย 1,141 ราย หรือ 59.65% ของผู้ป่วยโรคจิตทั้งหมด จึงเห็นได้ว่า จิตเภทเป็นโรคจิตที่พบได้มากที่สุดในโรงพยาบาลจิตเวชของประเทศไทย สถิติที่ได้ใกล้เคียงกับสถิติของโรงพยาบาลจิตเวชในต่างประเทศมาก ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่มารับบริการของโรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิตทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ 17 โรงพยาบาล ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศนั้น ประกอบไปด้วยผู้ป่วยทั้งที่เป็นนักศึกษาจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ครูอาจารย์ แพทย์ ข้าราชการพลเรือน พ่อค้า ชาวนา ชาวสวน กรรมกร ฯลฯ
โรคนี้พบมากในเกณฑ์อายุ 15-44 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บุคคลต้องเผชิญปัญหาการปรับตัวกับเหตุการณ์และความตึงเครียดของชีวิตหลายๆ ด้าน เช่น ปัญหาการศึกษา อาชีพ การสมรส การสร้างฐานะและครอบครัว เป็นต้น ฯลฯ ในเด็กและผู้ชราก็อาจพบโรคนี้ได้บ้าง แต่อุบัติการต่ำกว่าในวัยเจริญพันธุ์มาก
การรักษา
การรักษาโรคทางจิตเวชได้วิวัฒนาการไปมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อน เช่น เมื่อศตวรรษก่อน ในยุคที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาเพิ่งเปิดรับผู้ป่วยโรคจิต ในครั้งกระนั้น โรงพยาบาลยังไม่มีแพทย์ศึกษาอบรมทางจิตเวชศาสตร์โดยตรง และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่พบยาสงบประสาทที่ให้ผลดีเยี่ยมเช่นในปัจจุบันนี้ การดูแลผู้ป่วยโรคจิตจึงเป็นไปอย่างล้าสมัย แต่ในปัจจุบันเรากล้ากล่าวได้ว่า การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคจิตของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เป็นการดูแลรักษาที่ทันสมัยเทียบเท่าอารยประเทศ แม้เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลมีหอผู้ป่วยหรือที่พักและเครื่องอำนวยความสะดวกเช่นเดียวกับโรงพยาบาลฝ่ายกายทั่วไปมิได้กักขังหรือผูกมัดผู้ป่วยไว้ในห้องลูกกรงเหล็กเช่นที่ประชาชนบางคนเข้าใจผิด ผู้ร่วมงานฝ่ายรักษาประกอบด้วยจิตแพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา
อนึ่ง ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท มิได้หมายความว่าจะต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาลทุกรายไป มีผู้ป่วยจำนวนมากที่อาจได้รับผลดีจากการรักษาแบบผู้ป่วยนอกคือยังอยู่บ้านได้ แต่มาพบแพทย์สม่ำเสมอตามกำหนดนัด เช่น สัปดาห์ละครั้ง ญาติผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าเมื่อผู้ป่วยเกิดอาการทางจิต แพทย์จะต้องรับไว้ เมื่อแพทย์แนะนำให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกก็โกรธ โดยเข้าใจผิดว่า โรงพยาบาลปฏิเสธไม่ให้บริการแก่ผู้ป่วย ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีโรงพยาบาลใดในโลกจะสามารถรับผู้ป่วยที่มารับการรักษาไว้เป็นผู้ป่วยในได้หมดทุกราย เพราะนอกจากปัญหาใหญ่เรื่องจำนวนเตียงไม่พอกับจำนวนผู้ป่วยแล้วผู้ป่วยบางรายโรคหรือโรคเดียวกันแต่อาการต่างกัน บางรายรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ผลดีกว่าด้วยซ้ำไป
ในกรณีผู้ป่วยโรคจิตเภท ผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการ อาการไม่รุนแรง ควบคุมเองได้ ญาติช่วยดูแลได้ หรือยังพอประกอบอาชีพได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาล การพิจารณาว่าผู้ป่วยสมควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือไม่ จึงควรเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ตรวจเท่านั้น ญาติหรือผู้พาผู้ป่วยมาจึงควรรับฟังความเห็นของแพทย์ วิธีการรักษาส่วนใหญ่ใช้ยารักษาโรคจิตเป็นหลัก ยาประเภทนี้มีหลายชนิดแพทย์จะเลือกสั่งให้เหมาะสมกับอาการของโรค ญาติจึงไม่ควรซื้อยาตามร้านขายยาให้ผู้ป่วยรับประทานเอง เพราะนอกจากจะไม่ถูกกับอาการของโรคแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายได้
ผู้ป่วยที่รับไว้ในโรงพยาบาล ยังมีวิธีการรักษาแบบอื่นร่วมด้วย ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะเลือกวิธีการร่วมเป็นรายๆ ไป เช่น
1. การทำจิตบำบัด คือ การทำให้ผู้ป่วยสบายใจขึ้น โดยพูดถึงปัญหาของผู้ป่วยด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับแพทย์ผู้รักษา
2. การรักษาด้วยไฟฟ้า ใช้ในผู้ป่วยบางราย
3. อาชีวบำบัด คือการรักษาแบบให้ผู้ป่วยทำงาน เช่น งานหัตถกรรมประดิษฐ์ของต่างๆ งานเย็บสาน จักทอ เพื่อมิให้ผู้ป่วยมีเวลาว่างฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกันก็ให้ประโยชน์ทางการรักษาด้วย เพราะกรรมวิธีของงานบางอย่างเป็นหนทางให้ผู้ป่วยได้ระบายอารมณ์หรือความรู้สึกภายในด้วย เช่น การใช้ฆ้อนย้ำทุบเปลือกมะพร้าวแรงๆ เพื่อนำไปทำพรหมเช็ดเท้าเป็นทางระบายอารมณ์โกรธหรือความรู้สึกอยากทำร้ายผู้อื่น นอกจากนี้เมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลไป อาจนำความชำนาญที่ได้รับไปประกอบอาชีพได้
4. สันทนาการบำบัดและการฟื้นฟูบุคลิกภาพ คือ การหย่อนใจ การกีฬา ศิลปะ และการรื่นเริงต่างๆ ซึ่ง นอกจากจะให้ประโยชน์ทางระบายอารมณ์และช่วยฟื้นฟูบุคลิกภาพของผู้ป่วยแล้วยังช่วยให้ผู้ป่วยโรคจิตซึ่งมักเสียความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น หรือแยกตัวจากสังคมได้ฝึกปรับตัวเข้าสังคมและสร้างความสัมพันธ์กับบุคลอื่นด้วย อันเป็นการกรุยทางให้เขาได้กลับไปสู่สังคมและชุมชน อย่างที่สังคมและชุมชนเต็มใจต้อนรับเขา ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการรักษาผู้ป่วยจิตเภท
โรคจิตเภทส่วนมากมักเป็นๆ หายๆ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมในครอบครัวและในสังคมของเขาเหมาะสม เช่น ครอบครัวอบอุ่น มีความเข้าใจ เห็นใจ และยอมรับผู้ป่วย เต็มใจรับผู้ป่วยที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลกลับคืนสู่ครอบครัวอย่างจริงใจ สังคมและชุมชนไม่แสดงความรังเกียจผู้ป่วยและผู้ป่วยเลือกดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องพบความตรึงเครียดมากนัก ผู้ป่วยเองติดตามผลการรักษากับแพทย์สม่ำเสมอ อาการก็มักไม่กลับกำเริบอีก
ในทางตรงกันข้าม หากสภาพครอบครัวและชุมชนของผู้ป่วยไม่เอื้ออำนวยหรือผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและพอเพียง ก็อาจมีอาการกำเริบบ่อยครั้ง หรืออาจเป็นเรื้อรังจนบุคลิกภาพเสื่อมกลับคืนสู่สภาพปกติไม่ได้ตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม การอบรมเลี้ยงบุตรหลานอย่างถูกต้องตามหลักสุขภาพจิตอันจะให้เยาวชนเจริญเติบโตอย่างมีสุขภาพจิตดี ซึ่งนอกจากจะเป็นการป้องกันมิให้โรคจิตเภทกลับเป็นซ้ำอีก ยังเป็นการป้องกันโรคจิตโรคประสาทอื่นๆ และบุคลิกภาพแปรปรวนต่างๆ อีกด้วย
สีอะไร ช่วยความจำ สีอะไร กระตุ้นต่อมสร้างสรรค์??
สีฟ้ากระตุ้นจินตนาการ-กล้าเสี่ยง สีแดงดึงดูดสนใจทุกรายละเอียด
การใช้เฟอร์นิเจอร์สีฟ้าช่วยโน้มนำความคิดสร้างสรรค์และความกล้าเสี่ยง เอเจนซีส์ – การได้อยู่ท่ามกลางสีฟ้าช่วยกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนเรากล้าเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่สีแดงดึงดูดความสนใจให้มุ่งมั่นในรายละเอียด นานมาแล้วที่สีฟ้าถูกนำไปเชื่อมโยงกับความรู้สึกสงบเยือกเย็น แต่งานวิจัยล่าสุดจากแคนาดาระบุถึงคุณประโยชน์ใหม่ที่เฟอร์นิเจอร์หรือผนัง สีนี้นำมาให้ หลังพบว่าอาสาสมัครที่ทำการทดสอบหลายอย่างมีความคิดสร้างสรรค์และกล้าเสี่ยง มากขึ้น
ใน ทางกลับกัน สีแดงทำให้อาสาสมัครมีสมาธิและสนใจในรายละเอียดมากขึ้น บ่งชี้ว่าสีนี้อาจช่วยในการซึมซับข้อมูลที่ซับซ้อนหรือการอ่านหนังสือเตรียมสอบนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย แคนาดากล่าวว่าการค้นพบนี้อาจมีนัยต่อทุกอย่างตั้งแต่สีของคำเตือนบนฉลากยา การออกแบบสำนักงาน ห้องเรียนและป้ายจราจร
ผลศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร ไซนส์ พิจารณาจากผลลัพธ์จากสีแดงและสีฟ้าที่มีต่ออาสาสมัครที่ทำแบบทดสอบที่ต้อง ใช้ความคิด 6 ชุด เช่น การสร้างวลีใหม่จากพยัญชนะที่จัดให้ การจดจำคำต่างๆ และการออกแบบของเล่นสำหรับเด็ก
หลังการทดสอบ นักวิจัยพบว่าสีแดงที่มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับอันตราย คำเตือนและข้อผิดพลาด ทำให้อาสาสมัครตื่นตัวและระวังความเสี่ยงมากขึ้น
ในทางตรงข้าม สีฟ้าที่เชื่อมโยงกับความกว้างไกลและความรู้สึกสงบสุข ทำให้อาสาสมัครกล้าเสี่ยงมากขึ้น
การทดสอบหลายชุดทำในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยที่อาสาสมัคร 161 คนแก้โจทย์ต่างๆ บนแบ็คกราวด์หน้าจอสีฟ้า แดง และสีขาวสำหรับกลุ่มควบคุม
ใน การทดสอบหนึ่ง อาสาสมัคร 42 คนได้รับกระดาษที่มีภาพวาดชิ้นส่วนต่างๆ 20 ชิ้น และได้รับโจทย์ให้เลือกชิ้นส่วน 5 ชิ้นมาออกแบบของเล่นเด็ก “การออกแบบของเล่นในสภาพแวดล้อมสีแดง ได้ของเล่นที่สามารถนำไปเล่นได้จริงและมีความเหมาะสมมากกว่าของเล่นที่ออก แบบในสภาพแวดล้อมสีฟ้า แต่มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และแปลกใหม่น้อยกว่าของเล่นที่เกิดขึ้นในสภาพ แวดล้อมสีฟ้า” ดร.จูเลียต จู ผู้สอนวิชาการตลาดของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย และผู้นำการวิจัยอธิบายนักวิจัยเชื่อว่า ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสีไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เป็นเพราะคนเราเรียนรู้จากชีวิตประจำวันในการเชื่อมโยงสีบางสีกับสถานะ อารมณ์ต่างๆ และผลลัพธ์นี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม
“ผลวิจัยบ่งชี้ว่า สีต่างๆ อาจมีประโยชน์ต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน หากเป็นงานที่ต้องการความสนใจและสมาธิ ตัวอย่างเช่นการจดจำข้อมูลสำคัญหรือการทำความเข้าใจผลข้างเคียงของยาใหม่ สีแดงอาจ เหมาะสมที่สุด เนื่องจากเรามักเชื่อมโยงสีแดงกับป้ายจราจร รถพยาบาล และอันตราย จึงมีปฏิกิริยาต่อสีแดงในรูปของกลไกการหลีกเลี่ยงและระมัดระวัง
“อย่าง ไรก็ตาม หากงานต้องการความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เช่น การออกแบบร้านขายงานศิลป์ หรือการประชุมระดมสมองสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ สีฟ้าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะสีนี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับทะเล ท้องฟ้า อิสระเสรี ความสงบสุข ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ชักชวนการสำรวจพฤติกรรมและส่งเสริมความคิดสร้าง สรรค์” รายงานการวิจัยระบุผู้ออก แบบตกแต่งภายในมักใช้สีกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลมักทาสีที่ให้ความรู้สึกเยือกเย็นสงบ เช่น สีฟ้าและสีเขียว ขณะที่ร้านฟาสต์ฟูดใช้สีแดงเพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคน
ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะภาพใดหรือประกอบอาชีพใด ต่างต้องมีการติดต่อสื่อสารพบปะพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือเพิ่มความสัมพันธ์กับผู้อื่นให้ดียิ่งขึ้น และหัวใจที่ทำให้เราประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงาน ,ในด้านครอบครัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ก็คือ" การรู้เท่าทันความคิดของผู้อื่น "
การรู้เท่าทันผู้อื่น เพื่อเราจะได้ปรับพฤติกรรมของเราให้เข้ากับ พ่อ แม่ หรือสมาชิกในครอบครัว , เพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างานได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้ง
ตามที่เคยนำเสนอ ศาสตร์ในการอ่านใจคน ด้วยหลักจริต 6 ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เรารู้แนวโน้มพฤติกรรมของผู้อื่นอย่างกว้าง ๆ และเพื่อให้เราเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น Dr.Dimitrius ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการคัดเลือกคณะลูกขุนเข้าร่วมพิจารณาคดีดัง ๆ มากมาย ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอหลักในการอ่านความคิด ,แรงจูงใจและพฤติกรรมของผู้อื่น ณ จุดเวลานั้น เช่น อ่านคนจากน้ำเสียง , จากวิธีการพูดจา เป็นต้น
แต่การอ่านความคิดมนุษย์เป็นเรื่องที่ละเอียดสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีกรอบความคิดที่ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสน เพราะเบื้องหลังพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์แสดงออกมาย่อมเกิดจาก แรงกระตุ้น ที่ต่างกันไป
ดังนั้น เพื่อง่ายต่อการปรับประยุกต์ใช้ Dr. Dimitrius จึงให้หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ ดังต่อไปนี้
หัวข้อ
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
การอ่านคนจากน้ำเสียง
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
1. มองหารูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง รูปแบบการกระทำที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกหรือสถานการณ์เกิดขึ้นเป็นประจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัย เช่น เป็นคนกระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา , เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือชอบอยู่เฉย ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เราไม่ควรสรุปผู้อื่นจาก
· พฤติกรรมในครั้งแรกที่รู้จักกัน ( First Impression )
· พฤติกรรมในทาง Negative ที่นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่ง
2. หาพฤติกรรมที่เป็นนิสัยของเขาจริง ๆ ( เกิดขึ้นตามธรรมชาติ )
ตามหลักพื้นฐาน พฤติกรรมของมนุษย์สามารถ แยกได้ 2 ประเภท คือ
1.) พฤติกรรมที่สร้างขึ้น อาจจะเพื่อบทบาทหน้าที่การงานในสังคม หรือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เป็นต้น
2.) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ พฤติกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น " นิสัย " อาจมีสาเหตุจากการเลี้ยงดู หรือถูกหล่อหลอมจากสภาพสังคม เป็นต้น
คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมที่คน ๆ นั้นแสดงเป็นของจริงหรือสร้างขึ้น ?
สังเกตจาก " ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน " ปกติคนเราอาจมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปบ้าง แต่จะไม่ต่างจากลักษณะนิสัยเดิม ๆ มากนัก แต่ถ้าเบี่ยงเบนแบบสุดกู่ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อแยกได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพฤติกรรมที่สร้างขึ้น ให้คอยสังเกต " จุดเปลี่ยน " เพื่อที่เราจะได้เลือกพฤติกรรมที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม
3. ต้องสรุปให้ได้ว่าบุคคลผู้นั้น " คบได้ " หรือ " ไม่น่าคบ "
· ลักษณะของคนที่น่าคบ มีนิสัยที่จัดอยู่ในประเภท " คนเมตตาผู้อื่น " คือ ใจกว้าง, ยุติธรรม, ดูจริงใจ , พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น เป็นต้น
· ลักษณะของคนที่ไม่น่าคบ หรือคบได้แต่ต้องระวัง คือ พวกที่ทำอะไรหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว , มีความอาฆาตต้องการลงโทษผู้อื่น เป็นต้น
ข้อสังเกต : คน ๆ หนึ่งจะเป็นได้เพียงหนึ่งลักษณะเท่านั้น คือ เมตตา หรือ ไม่เมตตา
4. มองหาจุดแตกต่าง
ต้องแยกให้ออกว่า การกระทำหรือบุคลิกลักษณะภายนอกอะไรบ้างที่ขัดแย้งกับภาพรวมทั้งหมดของคน ๆ นั้น เพราะภายใต้ความแตกต่างนั้น ย่อมมีเหตุสำคัญบางประการ และถ้าเราค้นพบที่มาของความแตกต่างนั้นได้ จะทำให้เรารู้จักคน ๆ นั้นได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริง
สรุป : การที่เราจะอ่านความคิดผู้อื่นได้ถูกต้องตามสถานการณ์ หรือ ณ เวลานั้น ๆ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือพฤติกรรมซ้ำซากแท้จริงที่ถูกหล่อหลอมจน กลายเป็น " นิสัย " ของเขา เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
1. วิธีการตอบคำถาม
· นิ่ง : ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
· พูดยืดยาว : แสดงว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น
2. พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา
· เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
· จิตใจโหดร้าย, ชอบข่มขู่ผู้อื่น
3. เปลี่ยนเรื่องพูด อาจมาจากสาเหตุ ดังนี้
· เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
· ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงไม่อยากพูด
ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยน ถ้าไม่มีความเชื่อมโยงของเรื่องที่เปลี่ยนแสดงว่ากำลังปกปิดความจริง
4. คนที่เปิดเผยตัวมาก
· เขาสนในเราจึงยอมเปิดข้อมูลเยอะ หรือ
· อาจต้องการสร้างภาพ
5. คนที่ชอบพูดคำว่า ลุย
· เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว
การรู้เท่าทันผู้อื่น เพื่อเราจะได้ปรับพฤติกรรมของเราให้เข้ากับ พ่อ แม่ หรือสมาชิกในครอบครัว , เพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างานได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้ง
ตามที่เคยนำเสนอ ศาสตร์ในการอ่านใจคน ด้วยหลักจริต 6 ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เรารู้แนวโน้มพฤติกรรมของผู้อื่นอย่างกว้าง ๆ และเพื่อให้เราเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น Dr.Dimitrius ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการคัดเลือกคณะลูกขุนเข้าร่วมพิจารณาคดีดัง ๆ มากมาย ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอหลักในการอ่านความคิด ,แรงจูงใจและพฤติกรรมของผู้อื่น ณ จุดเวลานั้น เช่น อ่านคนจากน้ำเสียง , จากวิธีการพูดจา เป็นต้น
แต่การอ่านความคิดมนุษย์เป็นเรื่องที่ละเอียดสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีกรอบความคิดที่ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสน เพราะเบื้องหลังพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์แสดงออกมาย่อมเกิดจาก แรงกระตุ้น ที่ต่างกันไป
ดังนั้น เพื่อง่ายต่อการปรับประยุกต์ใช้ Dr. Dimitrius จึงให้หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ ดังต่อไปนี้
หัวข้อ
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
การอ่านคนจากน้ำเสียง
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
1. มองหารูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง รูปแบบการกระทำที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกหรือสถานการณ์เกิดขึ้นเป็นประจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัย เช่น เป็นคนกระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา , เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือชอบอยู่เฉย ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เราไม่ควรสรุปผู้อื่นจาก
· พฤติกรรมในครั้งแรกที่รู้จักกัน ( First Impression )
· พฤติกรรมในทาง Negative ที่นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่ง
2. หาพฤติกรรมที่เป็นนิสัยของเขาจริง ๆ ( เกิดขึ้นตามธรรมชาติ )
ตามหลักพื้นฐาน พฤติกรรมของมนุษย์สามารถ แยกได้ 2 ประเภท คือ
1.) พฤติกรรมที่สร้างขึ้น อาจจะเพื่อบทบาทหน้าที่การงานในสังคม หรือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เป็นต้น
2.) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ พฤติกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น " นิสัย " อาจมีสาเหตุจากการเลี้ยงดู หรือถูกหล่อหลอมจากสภาพสังคม เป็นต้น
คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมที่คน ๆ นั้นแสดงเป็นของจริงหรือสร้างขึ้น ?
สังเกตจาก " ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน " ปกติคนเราอาจมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปบ้าง แต่จะไม่ต่างจากลักษณะนิสัยเดิม ๆ มากนัก แต่ถ้าเบี่ยงเบนแบบสุดกู่ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อแยกได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพฤติกรรมที่สร้างขึ้น ให้คอยสังเกต " จุดเปลี่ยน " เพื่อที่เราจะได้เลือกพฤติกรรมที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม
3. ต้องสรุปให้ได้ว่าบุคคลผู้นั้น " คบได้ " หรือ " ไม่น่าคบ "
· ลักษณะของคนที่น่าคบ มีนิสัยที่จัดอยู่ในประเภท " คนเมตตาผู้อื่น " คือ ใจกว้าง, ยุติธรรม, ดูจริงใจ , พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น เป็นต้น
· ลักษณะของคนที่ไม่น่าคบ หรือคบได้แต่ต้องระวัง คือ พวกที่ทำอะไรหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว , มีความอาฆาตต้องการลงโทษผู้อื่น เป็นต้น
ข้อสังเกต : คน ๆ หนึ่งจะเป็นได้เพียงหนึ่งลักษณะเท่านั้น คือ เมตตา หรือ ไม่เมตตา
4. มองหาจุดแตกต่าง
ต้องแยกให้ออกว่า การกระทำหรือบุคลิกลักษณะภายนอกอะไรบ้างที่ขัดแย้งกับภาพรวมทั้งหมดของคน ๆ นั้น เพราะภายใต้ความแตกต่างนั้น ย่อมมีเหตุสำคัญบางประการ และถ้าเราค้นพบที่มาของความแตกต่างนั้นได้ จะทำให้เรารู้จักคน ๆ นั้นได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริง
สรุป : การที่เราจะอ่านความคิดผู้อื่นได้ถูกต้องตามสถานการณ์ หรือ ณ เวลานั้น ๆ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือพฤติกรรมซ้ำซากแท้จริงที่ถูกหล่อหลอมจน กลายเป็น " นิสัย " ของเขา เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
1. วิธีการตอบคำถาม
· นิ่ง : ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
· พูดยืดยาว : แสดงว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น
2. พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา
· เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
· จิตใจโหดร้าย, ชอบข่มขู่ผู้อื่น
3. เปลี่ยนเรื่องพูด อาจมาจากสาเหตุ ดังนี้
· เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
· ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงไม่อยากพูด
ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยน ถ้าไม่มีความเชื่อมโยงของเรื่องที่เปลี่ยนแสดงว่ากำลังปกปิดความจริง
4. คนที่เปิดเผยตัวมาก
· เขาสนในเราจึงยอมเปิดข้อมูลเยอะ หรือ
· อาจต้องการสร้างภาพ
5. คนที่ชอบพูดคำว่า ลุย
· เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว
“ทายนิสัยจากแบบทดสอบ” ของเก๊หรือของจริง!!!
“ทายนิสัยจากแบบทดสอบ” ของเก๊หรือของจริง!!!"
ส่วนสำคัญของนิตยสารสำ หรับวัยรุ่น ที่วัยรุ่นโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงจะต้องเปิดดูเป็นอันดับแรกได้แก่ส่วนที่มีการนำ แบบทดสอบทางจิตวิทยาต่างๆ มาให้ลองทำ และคิดคะแนนเพื่อให้รู้ว่าตนเองเป็นคนเช่นไร ทั้งดูจากหมู่เลือด การตอบคำ ถามไม่กี่ข้อ อาหารที่ชอบ หรือแม้แต่สีของชุดชั้นในที่ชอบ นอกจากแบบทดสอบทำ นองนี้จะเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นหญิงชาวญี่ปุ่นแล้ว กลุ่มผู้วิจัยชาวญี่ปุ่น นำ โดย Dr. Sakamoto จากมหาวิทยาลัย Ochanomizu กรุงโตเกียว ยังชี้ว่า ความนิยมกำ ลังแพร่หลายไปในหมู่วัยรุ่น
เกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกงด้วย เพราะความสนุกสนานที่ได้ทำ แบบทดสอบ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความตรงของการวัดลักษณะที่แบบทดสอบอ้างถึง ว่าจะเชื่อถือได้มากเพียงใด ซึ่งเรื่องนี้ถึงขนาดเป็นปัญหาที่นักวิชาการต้องนำมานั่งถกกันเลยทีเดียว แต่พวกที่ชอบทำ แบบทดสอบพวกนี้ก็มักจะอ้างว่า ไม่มีใครไปจริงจังกับผลหรือคำทำนายที่ออกมา ที่ทำก็เพราะมันสนุกดี และคิดว่าคำ ทำ นายที่ได้จากแบบทดสอบทางจิตวิทยาลักษณะนี้ ไม่ได้มีผลอะไรกับตนเอง แต่ความจริง จะเป็นดังคำ กล่าวนี้หรือไม่...
Dr. Sakamoto และคณะ จึงได้จัดการทดลองเพื่อศึกษาถึงอิทธิพลของแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่น ที่มีต่อภาพลักษณ์ที่วัยรุ่นมีต่อตนเองหลังจากทำ แบบทดสอบ และแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมไปตามคำ แปลผลแบบทดสอบนั้น โดยจัดแบ่งนักศึกษาหญิงจากมหาวิทยาลัย Ochanomizu 64 คน ออกเป็น กลุ่มที่ได้ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยายอดนิยม และแบบทดสอบทางจิตวิทยาตามหลักวิชาการ หลังจากทำเสร็จ ผู้วิจัยก็บอกคำ แปลผลให้ผู้ตอบครึ่งหนึ่งเข้าใจว่าตนเป็นคนชอบเข้าสังคม และบอกผู้ตอบอีกครึ่งหนึ่งว่าพวกเธอเป็นคนชอบเก็บตัว ซึ่งเป็นคำแปลผลที่ผู้วิจัยกำ หนดขึ้นเองและไม่ได้ตรงกับนิสัยจริงของตัวผู้ตอบแต่อย่างใด จากนั้นก็ใหผู้ตอบนั่งรอในห้องๆหนึ่งและได้พบกับคนแปลกหน้า ที่ผู้วิจัยบอกว่าจะต้องทำงานร่วมกับผู้ตอบใน การทดลองที่ 2 แท้จริงแล้ว คนแปลกหน้านั้นก็คือผู้ช่วยผู้วิจัยที่ถูกจัดให้มานั่งรอเพื่อพูดคุยกับผู้ตอบประมาณ 3 นาที เพื่อใหผู้วิจัยได้สังเกตการพูดคุยกับคนแปลกหน้าของผู้ตอบว่า มีลักษณะชอบเข้าสังคมหรือชอบเก็บตัวตามคำทำนายปลอมที่ได้รับมากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงให้ผู้ตอบได้ตอบแบบสอบถามเพื่อวัดภาพลักษณ์ต่อตนเอง
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า คำแปลผลจากแบบทดสอบมีผลต่อความเชื่อของผู้ตอบว่าตนเองมีลักษณะ
นิสัยแบบใด โดยเฉพาะแบบทดสอบทางจิตวิทยายอดนิยม ที่มีอิทธิพลต่อภาพลักษณ์ต่อตนเองของวัยรุ่นมากกว่าแบบทดสอบตามหลักวิชาการ นั่นคือทำ ให้ผู้ตอบเชื่อว่าตนเองมีลักษณะตามคำ แปลผลได้มากกว่า แต่ในทางพฤติกรรมนั้น แบบทดสอบทั้ง 2 แบบให้ผลพอๆ กัน นั่นคือทำ ให้ผู้ตอบที่เข้าใจว่าตนเองเป็นคนชอบเข้าสังคม พูดคุยกับคนแปลกหน้าบ่อยกว่าคนที่เข้าใจว่าตนเองเป็นคนชอบเก็บตัว และผู้ตอบที่ได้ทำ แบบทดสอบทางจิตวิทยายอดนิยม ยังระบุว่าตนเองพึงพอใจและมีความสุข มากกว่าคนที่ทำ แบบทดสอบทางจิตวิทยาตามหลักวิชาการด้วย ผลการทดลองที่ได้นี้ Dr. Sakamoto และคณะผู้วิจัยสรุปว่า "เกิดปรากฏการณ์ความคาดหวังสร้างความจริง" หรือ "Self-fulfilling prophecy" ขึ้น นั่นคือคำ แปลผลหรือคำ ทำ นายของแบบทดสอบทำ ให้ผู้ตอบรับรู้ตนเองและมี 2 พฤติกรรมไปตามที่แบบทดสอบบอก ทำให้คำทำ นายของแบบทดสอบที่อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย กลายเป็นจริงขึ้นมาในตัวผู้ตอบ กลุ่มผู้วิจัยจึงระบุว่า “แบบทดสอบทางจิตวิทยาแบบยอดนิยมนั้นมีอิทธิพลต่อคนตอบจึงเป็นมากกว่า “แค่ความสนุก” เท่านั้น ลักษณะการสร้างความเป็นจริงขึ้นในตัวผู้ตอบแบบทดสอบเหล่านี้ ทำให้แบบทดสอบดูน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมมากขึ้นไปอีก แต่เมื่อพิจารณาความตรงของแบบทดสอบ ก็เห็นว่ายังคงน่าสงสัย จึงสมควรเตือนคนทั่วไปเกี่ยวกับแบบทดสอบเหล่านี้” ดังนั้น แบบทดสอบของเก๊ ก็อาจกลายเป็น “ของจริง” ที่ตรงกับความจริงได้ อย่างน้อยสำ หรับตัวผู้ตอบ ...วัยรุ่นไทยทั้งหลายที่ชอบทำ แบบทดสอบทางจิตวิทยาตามนิตยสาร จึงต้องยั้งใจเอาไว้บ้าง เพราะถ้าไปเจอแบบทดสอบของเก๊เข้า เราก็อาจจะกลายเป็น “คนหลายใจ” (ตามคำทำนาย)ไปจริงๆ เพราะแค่ตอบคำ ถามที่ใครก็ไม่รู้ นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองค่ะ...
จากบทความวิจัย Sakamoto, A., Miura, S., Sakamoto, K., & Mori, T. (2000). Popular psychological tests and self-fulfilling prophecy: An experiment of Japanese female undergraduate students. Asian Journal of Social Psychology, 3, 107-124.
แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์ วัชราภรณ์ เพ่งจิตต์ หลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
เหตุใดเวลาเศร้าหรือดีใจมนุษย์จึงมีน้ำตา...???
ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้มนุษย์มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว นอกจากจะทำหน้าที่ในการมองเห็นแล้วดวงตายังสามารถแสดงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ได้ด้วยจนมีคำเปรียบเปรยว่า 'ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ'เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะดีใจ หรือเสียใจจะแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าและแววตา บางคนดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ เพราะเหตุใดเมื่อรู้สึกเศร้า ดีใจ เสียใจจึงมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตา
ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อธิบายว่า เวลาคนเราเกิดอารมณ์ดีใจ เสียใจ เศร้าใจ หรือ รู้สึกปลื้มปิติ น้ำตาก็จะไหลออกมา เนื่องจากส่วนของสมองที่ควบคุมอารมณ์ อยู่ที่บริเวณใต้ตาพอดี สมองส่วนนี้จะทำหน้าที่หลีกเลี่ยงความทุกข์ ต้องการที่จะปลดปล่อยความทุกข์ และต้องการความสุข เมื่อมีความทุกข์มนุษย์ก็ต้องการที่จะปลดปล่อยความทุกข์นั้นออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เสียใจหรือเจ็บปวดมาก น้ำตาก็จะไหลออกมา เวลาดีใจมีความสุขก็จะมีอารมณ์มากระตุ้นทำให้น้ำตาไหลออกมาได้อีก
เพราะฉะนั้นน้ำตาสามารถไหลออกมาได้ทุกๆ อารมณ์ เช่น เมื่อรู้สึกซาบซึ้ง รู้สึกผิด หรือในขณะที่ดูภาพยนตร์หรือดู โทรทัศน์เมื่อเห็นพ่อแม่ลูกโอบกอดกันน้ำตาก็จะไหลออกมา เพราะเราไม่เคยปฏิบัติกับพ่อแม่ การร้องไห้ยังสามารถบ่งบอกได้ว่าอารมณ์ของคน คนนั้นเป็นเช่นไร เช่น น้ำตาที่ไหลลงมาจากปลายตามักจะเกิดจากความเครียด ถ้าเครียดมากๆ น้ำตาจะไหลออกมาจากบริเวณตรงกลางของดวงตา ถ้าเป็นโรคหรือซึมเศร้าน้ำตาก็จะไหลออกจากบริเวณมุมของดวงตา เมื่อเกิดความรู้สึกปลื้มปิติน้ำตาจะไหลออกมาเต็มทั้งดวงตา เพราะเรามีทั้งความสุข และความดีใจจึงปลดปล่อยความทุกข์ ความเจ็บปวด ความกดดัน ออกมาพร้อมๆกัน
TIPS
นักชีวเคมีแห่งศูนย์วิจัยน้ำตา William Frey ซึ่งศึกษาวิจัยเรื่องของน้ำตามานานกว่า 15 ปี รายงานว่าการหลั่งน้ำตาถูกควบคุมโดยต่อมน้ำตา ซึ่งจะกำหนดความเข้มของน้ำตา และควบคุมปริมาณการขับถ่ายธาตุแมงกานีสรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นขณะ อารมณ์เปลี่ยนแปลง และพบว่า ปริมาณของแร่ธาตุต่างๆ ในน้ำตานั้น มากกว่าในกระแสเลือดถึง 30เท่า ผู้ที่ร้องไห้จะรู้สึกสบายขึ้น เพราะร่างกายได้ขจัดสารเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีความทุกข์ออกไปจากร่างกายพร้อมน้ำตา
ที่มา วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
AB คนกรุ๊ปเลือด เอบี คนที่ไม่มีความแน่นอน เวลาจะให้คนที่มีกรุ๊ปเลือด เอบี ตัดสินใจอะไรสักอย่าง เขามักจะทำให้เราผิดหวัง หรือไม่เข้าใจในตัวเขา อยู่เสมอ ทั้งนี้ ก็เพราะคนเลือดกรุ๊ป เอบี นั้น เป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว คิดมาก หรือไม่ก็คิดไกลจนคนอื่นตามไม่ทัน เป็นเหตุให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดไม่อาจเดาใจได้ถูก คนกรุ๊ปเลือด เอบี เป็นคนแปลก เวลาที่ประสบความสำเร็จ เขาจะผยองลำพอง โอ้อวดความสามารถของตนไปทั่ว แต่ถ้าพบกับความผิดหวังแม้เพียงน้อยนิด เขาก็จะกลับกลายเป็นคนละคน ปิดประตูลั่นกุญแจ ตีอกชกหัวอยู่คนเดียว แม้ใครจะปลอบใยน ก็ไม่ยอมคลายความเศร้าโศก ซึ่งนิสัยประหลาดแบบนี้ แม้แต่เจ้าตัวของคนกรุ๊ปเลือด เอบี เองก็ให้คำอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่า เพราะเหตุใดกันแน่ และเพราะความไม่เข้าใจตัวเองนี่แหละที่ทำให้บางครั้งก็เกิดปัญหา เช่น เขาไม่สามารถ ควบคุมอารมณ์ หรือความคิดของตนเองได้ แต่จะอย่างไรก็ตาม คนเลือดกรุ๊ป เอบี ก็เป็นคนมีใจเมตตา เห็นใจในความทุกข์ของผู้อื่นเสมอ และยินดีเสนอตัว เข้าช่วยแก้ปัญหาให้ แต่การช่วยเหลือของเขานั้น ออกจะน่ากลุ้มอยู่สักหน่อย คือเขาจะถือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ สมมติตัวเป็นเจ้าทุกข์ หรือเจ้าของปัญหาเสียเอง เรียกว่าถ้าจะให้ช่วยก็ยินดี แต่ต้องช่วยด้วยวีธีของฉันนะ ในด้านอารมณ์นั้น คนเลือดกรุ๊ป เอบี จัดว่าเป็นบุคคลประเภทอารมณ์รุนแรง รักใครก็รักสุดขั้วหัวใจ เกลียดใครก็เกลียด เข้ากระดูกดำไปเลย แต่ถึงกระนั้น คนกรุ๊ปเลือด เอบี ก็มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ไม่น้อย เพราะเขามีสมองที่ปราดเปรื่อง สามารถประดิษฐ์ คิดค้นสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่จะนำชื่อเสียงมาสู่เขาและวงศ์ตระกูลได้ แต่คนเลือดกรุ๊ป เอบี มักไม่ประสบความสำเร็จในการขอร้องใคร กล่าวคือ ถ้าเอ่ยปากขอความช่วยเหลือสักสิบครั้ง จะถูกปฎิเสธเสียเก้าครั้ง ทั้งนี้อาจจะเพราะ คนอื่นเขาเข็ดขยาด ในความไม่แน่นอนของแก ก็เลยขี้เกียจพาตัวเข้าไปข้องแวะด้วย ส่วนในด้านของความรักนั้น เนื่องจากคนกรุ๊ปเลือด เอบี ไม่ค่อยมีความจริงใจต่อเพศตรงข้ามเท่าใดนัก ความรักจึงไม่ค่อยยั่งยืนเท่าที่ควร
O คนกรุ๊ปเลือด โอ บุคคลผู้มีความสุขุมเยือกเย็น อันที่จริงนิสัยทั่วไปของคนกรุ๊ปเลือด โอ ก็คล้ายนิสัยของผู้ชายทั่ว ๆ ไปนั่นแหละคือมีความสุขุมรอบคอบ ตัดสินใจด้วยเหตุผล เชื่อมั่นสมองมากกว่าหัวใจ ไม่ชอบเพ้อฝัน และค่อนข้างไปทางวัตถุนิยมหน่อย ๆ ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป โอ จึงมักเป็นบุคคล ที่มีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน แถมหน้าที่การงาน ก็มักจะดีเป็นพิเศษซะด้วย เช่น เป็นทนายความ เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี หรืออะไรก็ตามที่มีความมั่นคงมาก ๆ โดยปกติแล้ว คนกรุ๊ปเลือด โอ เป็นคนไม่ค่อยมีจินตนาการเท่าใดนัก ความคิดความอ่าน ตลอดจนการกระทำของพวกเขา จะตั้งอยู่บนรากฐาน ของความจริงเสมอ คือถ้าตาไม่ได้เห็น มือไม่ได้จับละก็ อย่าหวังว่าเขาจะยอมเชื่อ และคงเพราะเหตุนี้กระมัง พวกเขาจึงสามารถสร้างครอบครัวได้เป็นปึกแผ่น ไม่เหลวเป็นน้ำ เหมือนพวกชอบฝันกลางแดด แม้ว่าจะเป็นคนเค็มนิด ๆ ก็เถอะ แต่คนกรุ๊ปเลือด โอ ก็มีนิสัยโอบอ้อมอารี รักเพื่อนพ้อง เป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี เป็นกำลังสำคัญ ของหน่วยงาน และเป็นที่รักใคร่ โปรดปรานของเจ้านาย ส่วนหญิงที่มีเลือดกรุ๊ป โอ นั้น ก็เป็นคนที่จริงจังต่อชีวิตและความรัก ยินดีต่อการได้เป็นภรรยาและแม่เพราะเธอมีความคิดที่จะอุทิศร่างกาย และวิญญาณเพื่อคนที่เธอรักอยู่แล้ว เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็อย่าเข้าใจผิด คิดว่าผู้หญิงกรุ๊ปเลือด โอ จะใจง่าย มอบกายให้ใครเชยชมง่าย ๆ ตรงกันข้าม เธอเป็นคนรักนวลสงวนตัวจนบางครั้งถูกหาว่าโบราณคร่ำครึด้วยซ้ำ แต่ถ้าชายที่มารักเธอนั้น มีความเข้าใจ และหัวเก่าพอ ๆ กับเธอละก็ เขาจะเป็นคนที่โชคดีทีเดียวล่ะ ที่ได้หญิงที่มีความรักความจริงใจ อย่างเธอไปเป็นคู่ครอง
กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย...กรุ๊ปบี
B คนกรุ๊ปเลือด บี มีนิสัยร่าเริงเป็นสัญลักษณ์ ตามตำราท่านว่า ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป บี นั้น จะเป็นบุคคลที่พร้อมจะหัวเราะได้ทุกเวลา เพราะมีนิสัยร่าเริง รักอิสระเสรี ตามใจตัวเอง ไม่แคร์ต่อสายตาประชาชี ใครจะหมั่นไส้ ใครจะค้อนก็ช่าง ฉันพอใจเสียอย่าง ใครจะทำไม เพราะฉะนั้น คนกรุ๊ปเลือดบี จึงชอบทำงานประเภท "วันแมนโชว์" คือไม่นิยมเข้าหุ้นกับใคร ลักษณะนิสัยของคนกรุ๊ปเลือดบี นั้นสามารถจะเป็นศิลปิน นักประพันธ์ หรือผู้สื่อข่าวที่ประสบความสำเร็จได้ หรือหากจะทำงานในองค์การใหญ่ โอกาสเป็นผู้บริหารก็มีมาก ทั้งนี้ก็เพราะเขาเป็นคนเด็ดเดี่ยว ใจกว้าง และกล้าแสดงความคิดเห็น อย่างไม่หวั่นเกรงผู้ใด ผู้ชายในกรุ๊ปเลือดบี จะเป็นคนประเภท สังคมเก่ง มีเพื่อนหญิงเป็นโหล ๆ แต่อย่าคิดว่า เขาเป็นคนไม่จริงจังกับความรักล่ะ เขาจริงจังมาก แต่เสียนิดเดียว คือเขาจะจริงจังไปหมดเสียทุกคน นี่สิถึงจะเป็นปัญหา ส่วนผู้หญิงที่มีเลือดกรุ๊ปบีนั้น ก็เก่งไม่แพ้ผู้ชายเหมือนกัน คือ หัวใจไม่เคยว่าง ชอบเข้าสังคม ไม่แคร์เสียงนกเสียงกา แต่ถ้าเธอลองปักใจรักใครเข้าสักคนละก็ ใจเธอจะแน่วแน่มั่นคง ไม่มีวันเสื่อมคลายเชียวหล่ะ แต่แย่หน่อยนะ ตรงที่เธอเป็นคนชอบเพ้อฝัน รักความหรูหราฟู่ฟ่า ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของขนบธรรมเนียมประเพณีเท่าใดนัก แถมเป็นคนเอาอะไรก็จะเอาให้ได้ โดยไม่สนใจว่าจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไร เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่บางครั้งเจ้าหล่อนจะถึงขั้นขายเพื่อน หรือไม่ก็ขายตนเอง เพียงเพื่อยกตัวเองให้ไปถึงจุดสุดยอดตามที่ต้องการ
กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย...กรุ๊ปเอ
A คนกรุ๊ปเลือดเอ ผู้ไม่ชอบทะเลาะกับใคร อันบุคคลที่มีเลือดกรุ๊ป เอ นั้นเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง จึงไม่ค่อยโต้เถียง หรือแสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับใคร เพราะเชื่ออยู่เสมอว่าความคิดของตนถูกต้องแล้ว จึงไม่ต้องไปขอความคิดเห็นจากใครอีก แต่ยังดีที่คนกรุ๊ปเลือด เอ ส่วนมากจะเป็นคนเอาใจเก่งเห็นใจ และตามใจคนอื่นเสมอ ดังนั้นโอกาสที่จะพบว่าเขาไปทำให้ขุ่นข้องหมองใจนั้นจึงไม่ค่อยได้ปรากฏให้เห็นบ่อยนัก แต่คนกรุ๊ปเลือด เอ ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ตรงที่เป็นคนขาดความคิดริเริ่ม ซึ่งหากเป็นชายที่บังเอิญได้หญิงฉลาด ทำงานเก่ง มาเป็นคู่ครอง ฝ่ายหญิงจะรู้สึกผิดหวังในตัวเขาอยู่บ้าง แต่สำหรับชาวกรุ๊ปเลือด เอ ที่เป็นหญิงแล้ว ลักษณะเช่นเดียวกันนี้ ก็อาจจะเป็นผลดีสำหรับเธอ เพราะทำให้เธอกลายเป็นแม่ศรีเรือน ถนัดในการดูแลบ้านช่อง ปรนนิบัติสามี อบรมบุตรหลาน เรียกว่า เพรียบพร้อมคุณสมบัติของความเป็นแม่บ้าน นั่นแหละ แต่มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง สำหรับหญิงเลือดกรุ๊ป เอ นั่นก็คือ ในเวลาที่หัวใจของเธอมีความรักนั้น เธอจะรักชนิดทุ่มเทให้หมด ทั้งสี่ห้องหัวใจเลยทีเดียว แต่ถ้าเมื่อใดที่น้ำผึ้งเปลี่ยนรสจากหวานกลายเป็นขม เธอก็พร้อมที่จะสลัดคุณออกไปจากหัวใจ อย่างคนที่มีความเข้มแข็ง เพราะสำหรับเธอแล้ว ให้เจ็บปวดปางตายเสียยังจะดีกว่าต้องมางอนง้อ ขอให้ใครเมตตาสงสารนอกจากเป็นคนมีอารมณ์รุนแรงแล้ว สตรีเลือดกรุ๊ป เอ ยังเป็นคนที่รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัวชนิดสาวสวยสมัยใหม่อยู่เสมอ แถมยังมีรสนิยมดีซะด้วย คือ สวยอย่างคนมีระดับ ว่างั้นเถอะ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)